กีฬาชนชั้นสูง มาทำความรู้จักกีฬาขี่ม้าโปโลกันนะครับ ถ้าหากย้อนตำนานของการขี่ม้าโปโล

กีฬาชนชั้นสูง ถ้าหากลองนึกภาพภาพกีฬาชนิดหนึ่งที่มีการขี่ม้าตีลูกฟุตบอลเข้าประตู หลายคนบางทีก็อาจจะพอเพียงคุ้นๆว่ากีฬาชนิดนี้เป็น “กีฬาขี่ม้าโปโล” แม้กระนั้นสำหรับเมืองไทย

บางครั้งอาจจะมองไม่ค่อยรู้เรื่อง กับกีฬาชนิดนี้เท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีการเล่น กฎข้อตกลงต่างๆ
อย่างไรก็ดี ในบ้านพวกเราก็ยังมีกลุ่มชน ที่นิยมกีฬาจำพวกนี้อยู่บ้าง กีฬาจำพวกนี้ส่วนมากจะเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง พวกเรามาทำความรู้จักกีฬาขี่ม้าโปโลกันขอรับ

ถ้าย้อนตำนาน ของการขี่ม้าโปโล ว่ากันว่ากีฬาประเภทนี้ เริ่มโดยการประลอง ระหว่างชาวอิหร่าน กับชาวเติร์กโคมัน ราว 600 ปีกลายคริสตกาล แม้กระนั้นคนที่ได้รับการบันทึกว่า เป็นหัวหน้ากีฬาประเภทนี้ ไปเผยแพร่

เป็นชาวมองโกล ในสมัยของเจงกิสข่าน ที่เพียงพอรบได้ชัย ก็กระทำการประหารเชลยสงคราม ด้วยการตัดหัว แล้วนำหัวที่ถูกตัด ไปตีเล่น ต่อจากนั้นแล้วก็ค่อยๆปรับปรุงบ่อยมากมายระทั่ง แปลงเป็นกีฬาบนข้างหลังม้า

แพร่หลายไปยังแถบอิหร่าน แล้วก็ดินแดนฝั่งทิศตะวันออก โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศอินเดีย ที่พอเพียงคนอังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้า ของอาณานิคมได้ มาเจอเข้า ก็นำกลับไปเล่นบ้าง จนถึงมีการจัดตั้งขึ้นเป็นสมาพันธ์ขึ้นและก็ถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งโลก

เมื่อมาถึงในช่วงปัจจุบัน นอกเหนือจากความสนุกสนานร่าเริง ของกีฬาประเภทนี้แล้ว สิ่งจำเป็นที่กีฬาขี่ม้าโปโล กับคนที่เข้าไปสัมผัส ซับได้ก็คือสปิริต รวมทั้งความเอื้อเฟื้อของนักกีฬา เพราะเหตุว่ากีฬาประเภทนี้มีความเร็วสูง

ทั้งยังจะต้องใช้ไม้ตีลูก ทำให้ได้โอกาส ที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกล้วยๆรวมทั้งอาจมีผู้กระทำลั่นแกล้งกัน ในสนามก็สามารถทำเป็นกล้วยๆแล้วก็ถ้าเกิดขึ้นจริง ก็ได้โอกาสได้รับบาดเจ็บสูง แม้กระนั้นเรื่องราวดังกล่าวข้างต้นไม่เคยเกิดขึ้น

เพราะว่าผู้เล่นทุกคน เคารพนับถือข้อตกลงอย่างยอดเยี่ยม อาจมีเพียงแค่กระทบกระทั่ง กันบางส่วน เป็นเพียงแค่ในเกมข้างหลังจบการแข่งขันชิงชัยก็ประสานมือกัน เกร็ดความรู้กีฬาขี่ม้าโปโล ออลเอเชียคัพ

กีฬาชนชั้นสูง

กีฬาชนชั้นสูง นอกเหนือจากการที่จะได้ดูเกมสนุกสนานๆแล้ว กีฬาโปโลยังมีความพิเศษอีกอย่าง ซึ่งนับว่าเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ทำสืบต่อกันมา ตั้งแต่ยุคอดีตกาลโน่นเป็น ผู้ชมในสนามจะแต่งตัว ด้วยเสื้อผ้าที่สวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณผู้หญิง

ชอบใส่หมวกปีกกว้าง สไตล์อังกฤษ ซึ่งนอกเหนือจากที่จะใช้สำหรับป้องกันแสงแดดแล้ว ยังแปลงเป็นแฟชั่นความงดงามเด่น ในสนามสำหรับเพื่อการแข่งขันได้อย่างมีชีวิตชีวา เนื่องจากแต่ละคนต่างแต่งตั้งหมวกใบเก๋ ด้วยการใช้ขนไก่ ขน ดอกไม้

หรือผ้าตาข่ายมาประดิดประดอย บางบุคคลบางทีอาจสวมถุงมือตาข่าย เพิ่มสีสัน ให้กับหมวก และก็ชุดที่ใส่ ธรรมเนียมปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ที่สำคัญของกีฬาขี่ม้าโปโลก็คือ ดีวอช สตอมปิง

ที่ในระหว่างพักของแต่ละตอน ผู้จัดการแข่งจะเชิญชวนทุกคนให้เดินลงไปในสนาม เพื่อช่วยเหลือกันกลบดินรวมทั้งเกลี่ยรอยตีนม้าอย่างสนุก ซึ่งนอกเหนือจากการที่จะช่วยทำให้พื้นสนามเรียบขึ้นแล้ว ยังเป็นการให้โอกาสให้ผู้ดูได้

ยืดเส้นยืดสาย พบปะสนทนาพุดคุยกับผู้ชมคนอื่นหรือนักกีฬา และก็รู้สึกมีส่วนร่วมสำหรับการชิงชัยด้วย นับเป็นขนบธรรมเนียมที่ออกจะพิเศษกว่ากีฬาประเภทอื่นๆ
ขี่ม้าโปโลในประเทศไทย

สำหรับในประเทศไทย กีฬาขี่ม้าโปโลเริ่มเข้ามาในยุครัชกาลที่ 6 แต่ว่าด้วยเหตุว่าขีดวงจำกัดเฉพาะผู้ดีแล้วก็คนต่างประเทศ ทั้งด้วยข้อกำหนดต่างๆโดยยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของรายจ่ายสำหรับในการซื้อแล้วก็ดูแลม้าที่กล่าวไว้ข้างต้น

ทำให้กีฬาประเภทนี้เบาๆเงียบหายไป แต่ ต่อไป กีฬาจำพวกนี้ก็ได้กลับมามีชื่อเสียงอีกรอบ ด้วยการช่วยสนับสนุนของคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการ กรุ๊ปบริษัท คิง เพาเวอร์ กระทั่งกีฬาขี่ม้าโปโลได้แปลงเป็นเป็นที่ยอมรับ

แล้วก็มีการตั้งขึ้นเป็นสัมพันธ์ฯ โดยได้รับอนุญาต จากการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้ก่อตั้งเป็น “ชมรมขี่ม้าโปโล ที่เมืองไทย” ตอนวันที่ 15 เดือนมกราคม 2547 แล้วก็ยังเคยมีการใส่กีฬาขี่ม้าโปโลเข้า สำหรับในการแข่งกีฬาซีเกมส์ เมื่อครั้งที่ 24 จังหวัดนครราชสีมา ในปี 2550 มาแล้ว กีฬาขี่ม้า

กีฬาชนชั้นสูง
เรื่องน่ารู้ในกีฬาขี่ม้าโปโล

กีฬาชนชั้นสูง กีฬาผู้ดี – สนามโปโลมีความยาว 300 หลา และก็ความกว้าง 200 หลา หรือโดยประมาณ 4 สนามฟุตบอล
– แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ข้าง ข้างละ 4 คน
– พวกเราเรียก ตอนการแข่งขัน ชิงชัยว่า ชักก้า ในแต่ละชักก้าใช้เวลา 7 นาที (จะมีระฆังเตือน
ภายหลังจบ 7 นาที) และก็ขยายเวลาอีก 30 วินาที จนกระทั่งบอลจะออก
– ชักก้าในที่สุดจะไม่มีการขยายเวลาอีก 30 วินาที นอกจากในเรื่องที่ผลที่เกิดจากการแข่งขันยังเท่ากันอยู่
– เวลาสำหรับในการแข่งโปโล จะเล่นกัน 4–6 ชักก้า สุดแท้แต่จะตกลงกัน
– การนับแต้มของกีฬาโปโล เมื่อลูกเข้าประตูอย่างถูกข้อตกลง จะนับครั้งละ 1 แต้ม
– นักกีฬาแต่ละท่าน จะมีแต้มต่อ ตั้งแต่ -2 (ต่ำสุด) ถึง 10 (สูงสุด) โดยแต้มต่อนี้
จะบอกถึงความรู้ความเข้าใจ ของนักกีฬาแต่ละท่าน
– แต้มต่อของนักกีฬา 4 ท่านรวมกันจะพอๆ กับแต้มต่อ รวมของกลุ่ม ดูบอลสด